FA Time กับ อ.ตี๋ ชวลิต ลีลาภรณ์, FChFP
Wealth กับ Networt
คำที่เราจะได้ยินในสายการเงินบ่อยๆคือ คำว่า Wealth กับคำว่า Networth ครับ เรามารู้จัก 2 คำนี้กันดีกว่าครับ
Wealth หมายถึงความมั่งคั่งครับ เรามักใช้เป็นคำนี้ในการสื่อสาร ที่แสดงถึงความมั่งคั่งของบุคคลนั้นๆ เช่นคนนี้มี Wealth สูงมาก หมายถึงมีความมั่งคั่ง หรือรวยมากๆ แต่วิธีการวัดความมั่งคั่งในทางตัวเลข เราจะวัดกันที่ค่า Networth หรือเราเรียกว่า “ความมั่งคั่งสุทธิ” ครับ ถ้าแปลกันในเข้าใจง่ายๆ ผมจะอธิบายว่า “ทรัพย์สินปลอดหนี้” หรือคือ ทรัพยส์สินที่เราเป็นเจ้าของแล้วจริงๆ ไม่ได้เป็นหนี้แล้ว สูตรคำนวณคือ
ความมั่งคั่งสุทธิ = ยอดรวมทรัพย์สินทั้งหมด – ยอดรวมหนี้สินทั้งหมด
เช่น เราซื้อบ้าน มูลค่า 4 ล้าน ดาวไป 1 ล้าน เข้าธนาคาร 3 ล้าน แสดงว่า
ความมั่งคั่งสุทธิ ณ วันซื้อ = 4 ล้าน – 3 ล้าน = 1 ล้าน
แต่หากเราผ่อนมาเรื่อยๆ เป็นเวลา 12 ปีแล้ว มูลค่าบ้านเติบโตขึ้น เป็น 5 ล้าน แต่หนี้สินลดลงเหลือ 2 ล้านบ้าน ดังนั้น
ความมั่งคั่งสุทธิ ณ ปัจจุบัน = 5 ล้าน – 2 ล้าน = 3 ล้าน
ผ่านมา 12 ปี ความมั่งคั่งเฉพาะเรื่องบ้านเพียงเรื่องเดียว เรามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านบาท เนื่องจากการผ่อนชำระ และที่สำคัญมาจากมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น (หนึ่งในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์)
คนจะรวยจริง รวยไม่จริง เราไม่ได้วัดแค่ว่าวันนี้ใส่เสื้อแบนด์ ขับรถยุโรป กระเป๋าถือยี่ห้อดัง เราต้องวัดกันที่ มูลค่า Networth (ความมั่งคั่งสุทธิ) หรือ มูลค่าทรัพย์ปลอดหนี้สินแล้ว
วันนี้เราทำให้ Networth และ Wealth มีค่ามากๆ ได้ง่ายๆ เพียงทำแค่ 2 อย่างเองครับ
- ทำให้ “สินทรัพย์” มียอดมากขึ้น
- ทำให้ “หนี้สิน” มียอดน้อยลง แต่วิธีการทำได้อย่างไร? อันนี้คงต้องคุยกับ FA เป็นการส่วนตัวแล้วละครับ ผมขอแบ่งปันไอเดีย บางส่วนนะครับ
- “สินทรัพย์” แบ่งเป็น 2 ประเภทครับ คือ
- สินทรัพย์ที่วันข้างหน้า จะมีราคา มากกว่า วันนี้ เช่นบ้าน ทองคำ พันธบัตร
- สินทรัพย์ที่วันข้างหน้า จะมีราคา น้อยกว่า วันนี้ เช่น รถยนต์ ของใช้ส่วนตัว คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ
เราควรสะสมสินทรัพย์ ประเภท a เยอะๆ และสะสมสินทรัพย์ประเภท b ให้น้อยๆ และในสินทรัพย์ประเภท a ก็ควรมีทั้งสินทรัพย์ที่มีความมั่งคง เช่นตราสารหนี้ และมีทั้งสินทรัพย์ที่เน้นการเติบโตเช่น ตราสารทุน ผสมกันตามอัตราส่วนที่เหมาะสมกับตัวบุคคล (ปรึกษากับ FA ได้ครับ)
- “หนี้สิน” การเป็นหนี้ มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี ครับ !!!การเป็นหนี้ มีเรื่องดีด้วยหรือ?
- หนี้สินนั้นสามารถนำไปสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
- หนี้สินนั้นไม่สามารถสร้างรายได้ หรือกำไรได้
หากเราต้องมีหนี้สินประเภท c สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องดีครับ (บนพื้นฐานที่ต้องผ่อนจ่ายคืนเจ้าหนี้ไหวนะครับ) เช่น ตัวอย่างผ่อนบ้านข้างต้น เราผ่อนบ้านผ่านไป 12 ปี เรากลับมีมูลค่า Networth เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านบาท เป็น 3 ล้านบาท นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วงใช้เงินคนอื่นมาสร้างธุรกิจทั้งนั้นครับ แต่คนที่จะประสบความล้มเหลวมันจะมีหนี้สินประเภท d ครับ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการตอบสนองความอยากความต้องการเสียส่วนใหญ่ครับ เช่น ซื้อมือถือเงินผ่อน ไปเที่ยวผับกินเหล้าใช้บัตรเครดิตรูดไปก่อน สุดท้ายเป็นหนี้บัตรเครดิต เป็นต้นครับ
อยากมี Wealth สูงๆ สิ่งที่ต้องทำสิ่งแรกคือ โทรหา FA ที่ส่งบทความนี้ให้ท่านครับ
THAIFA “รวมพลัง สร้างอนาคต”