FA Time กับ อ.ตี๋ ชวลิต ลีลาภรณ์, FChFP
การกำหนดเป้าหมาย และวิธีในการลงทุน
สวัสดีปีใหม่ครับ ทักทายแบบนี้ ไม่ต้อง งง นะครับ เพราะมีผู้อ่านหลายๆท่านที่วันนี้คือวันเปิดปีบัญชีใหม่แล้ว ซึ่งเร็วกว่าผู้อื่น 1 เดือน พอเริ่มปีใหม่ก็มีการตั้งเป้าหมายใหม่สำหรับปีบัญชี 2016 การกำหนดเป้าหมายที่ดี เป้าหมายต้องสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา จับต้องได้ มีแรงจูงใจให้พิชิตเป้าหมาย สมเหตุสมผล มีเวลากำกับ และที่สำคัญต้องวัดปริมาณความสำเร็จได้
การลงทุนก็ไม่ต่างกับการดำเนินชีวิตครับ ควรต้องมีเป้าหมายตั้งแต่ก่อนจะเริ่มลงทุนครับ (ย้ำ มีเป้าหมายตั้งแต่ก่อนจะเริ่มลงทุนครับ ซึ่งหลายท่านไม่มี) สำหรับเป้าหมายการลงทุนที่ส่งผลดีกับเรามากที่สุด ไม่ใช่การได้รับผลตอบแทนสูงๆครับ แต่ควรเป็นการได้ผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสมกับปัจจัยต่างๆของตัวผู้ลงทุน และได้ตรงตามเป้าหมายครับ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? การกำหนดเป้าหมาย และขั้นตอนการลงทุนมีขั้นตอนอะไรบ้าง? มาดูกันครับ
- สิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรก คือการค้นหาเป้าหมายในชีวิตก่อนครับ เน้นครับ เป้าหมายในการดำเนินชีวิตครับ เพราะการลงทุน เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินเพื่อพิชิตเป้าหมายในชีวิตตามที่ตั้งไว้ ถูกต้องไหมครับ? ดังนั้นต้องค้นหาเป้าหมายในการดำเนินชีวิตก่อนครับ ซึ่งวิธีคิดก็คิดจาก เส้นวงจรชีวิตได้ครับ อีก 5 ปี จะแต่งงาน ต้องใช้เงิน, อีก 10 ปี ลูกจะเข้ามหาลัย ต้องใช้เงิน, อีก 30 ปี ต้องเกษียณ ต้องใช้เงิน ค้นหาให้เจอครับว่ามีเป้าหมายอะไรบ้าง
- กำหนดความสำคัญให้ชัดเจนว่าเป้าหมายไหนเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญสูง กลาง ต่ำ ตัวไหนสำคัญมากกว่าตัวไหน ระยะเวลาแต่ละเป้าหมายนานเท่าไรถึงจะต้องใช้เงินก้อนนี้ และยอดเงินที่ต้องการจะใช้ เช่น อีก 4 ปี ข้างหน้าจะเปลี่ยนรถใหม่ ที่ราคา 1.3 ล้านบาท ระดับความสำคัญปานกลาง หรือ อีก 5 ปี และ 11 ปี ข้างหน้า ลูกต้องย้ายไปเรียนมัธยมที่โรงเรียนเอกชน ค่าเทอมปีละ 140,000 บาท/ปี จำนวน 6 ปี และต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งคิดว่าค่าเทอมและค่าใช้จ่ายจะประมาณ 1,000,000 บาท ต่อหลักสูตร ระดับความสำคัญมาก
- รู้จักตนเอง ผ่านการทำแผนการเงิน ซึ่งตรงนี้แหละครับที่จำเป็นต้องมี Financial Advisor-ที่ปรึกษาการเงิน (FA) เป็นผู้ช่วย เพราะ FA จะมีหลักในการแนะนำ การคำนึงถึงผลกระทบต่างๆที่จำเป็น เช่น เงินเฟ้อ ทิศทางทางการลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความรอบครอบด้านหลักประกัน เป็นต้น
ที่สำคัญคือ FA จะช่วยค้นหาคำตอบให้กับเราครับว่า อัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับเราคือเท่าไร (เน้นครับว่าผลตอบแทนที่เหมาะสม) เช่น หากจะบรรลุวัตถุประสงค์ของการวางแผนการลงทุนเพื่อการเกษียณในอีก 30 ปีข้างหน้า เช่น เราสามารถออมเงินเพิ่มได้ปีละ 120,000 บาท ก็ให้นำเงินออมใหม่นี้ไปลงทุนในที่ได้ผลตอบแทนเพียง 8% ก็พอ แต่หากสามารถเก็บได้ถึงปีละ 180,000 บาท ก็นำไปลงทุนในที่ได้ผลตอบแทนเพียง 6.5% ก็พอ ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องไปลงทุนในที่มีความเสี่ยงสูงอีกต่อไปครับ เพราะการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจทำให้เราไม่มีความสุขในชีวิตอีกต่อไปเลยก็ได้ครับ
- การจัดทำ Asset Allocation / Security Selection / Timing / Risk Management (การจัดแบ่งสินทรัพย์เพื่อการลงทุน / การเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน / จังหวะเวลา / และการจัดการความเสี่ยง) หลักการทั้งหมดนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เพราะความเสี่ยงคือสิ่งที่จะทำให้เกิดความคาดเคลื่อนจากเป้าหมาย ที่เราเคยคุยกันไว้ในบทความแรกๆ จำกันได้ไหมครับ (ส่วนในข้อ 4 นี้ เราค่อยขยายความกันในอนาคตนะครับ)
- ติดตามผล และปรับเปลี่ยน เราควรต้องติดตามผลการดำเนินงาน ความคาดเคลื่อนจากเป้าหมาย รวมถึงการปรับแก้สถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นระยะๆครับ เช่นควรมีการสรุปผลทุกๆไตรมาส หรือ ทุกๆครึ่งปี ส่วนนี้ก็จำเป็นเป็นอย่างมากครับ
อยากให้เห็นภาพของ นักลงทุนที่ไม่มีเป้าหมายในการลงทุนไว้เป็นข้อเตือนใจครับ เมื่อนักลงทุนไม่มีเป้าหมายในการลงทุน จึงคาดหวังผลลัพธ์เพียงแค่ผลตอบแทนสูงๆ ยิ่งสูงยิ่งพอใจ ไม่คำนึงถึงอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม ตามที่เราทราบ High Risk, High Return (อัตราผลตอบแทนสูงจะมาพร้อมความเสี่ยงสูง) แต่มักจะลืมคิดในด้านตรงข้ามคือ High Risk, High Loss เมื่อเรานำสินทรัพย์ไปลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เราก็อาจจะขาดทุนสูงก็ได้ครับ ลองมองนะครับ หากเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญสูง เช่นทุนการศึกษา นอกจากจะสินทรัพย์จะลดลงแล้ว ลูกยังไม่มีเงินเรียนอีก ดังนั้นขอให้พวกเราเปลี่ยนมาใช้ อัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม แทนอัตราผลตอบแทนสูงๆ กันดีกว่าครับ
บทความน่าอ่าน
http://www.cimb-principal.co.th/Investor’s_Guide-@-Investment_Goal.aspx
https://www.financialplanning.scbam.com/th/Planning/Investment
http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html?menu_id=181
THAIFA “รวมพลัง สร้างอนาคต”